วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ที่มาของคําว่า “หริภุญไชย” ในมุมมองของนักวิชาการ



คําว่า “หริภุญไชย” ชื่อเมืองโบราณหริภุญไชยนี้ เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันและมี นักวิชาการ ได้นําเสนอความหมายของเมืองโบราณหริภุญไชยไว้หลากหลายดังนี้

1. หมายถึง สถานที่ที่พระพุทธเจ้าฉันผลสมอ คําว่า “หริตะ” หมายถึงผลสมอ “หริตกี” แปลว่าต้นสมอไทย “ภุชญะ” แปลว่า การกิน โดยมีที่มาจากหนังสือบาลีสาสนวงศ์ กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาประทับฉันผลสมอที่นี่(7) 

2. หมายถึง การอภิเษกพระนางจามเทวีบนกองทองจากชินกาลมาลีปกรณ์และตํานาน มูลศาสนา ดังข้อความว่า “เพราะอาศัยเหตุที่พระนางนั่งบนกองทองคําอภิเษกนครนี้จึงชื่อว่า หรปิญุ ชัย ฉะนี้แล” ร.ต.ท.แสง มนวิทูร อธิบายความเพิ่มเติมว่า มาจากคําว่า “หริปุญเช” หมายถึงบนกอง หริ โดยแปลว่า “หริ” หมายถึง ทองคําหรือจันทน์เหลือง หรือหญ้าแพรก อาจเป็นไปได้ว่า ได้อัญเชิญพระนางจามเทวีให้นั่งบนกองจันทน์เหลืองหรือกองหญ้าแพรก แล้วกระทําการราชาภิเษก(8) 

3. หมายถึง ชัยชนะแห่งบุญกุศลของพระนารายณ์ เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์ ได้อธิบายว่า “หริ” หมายถึงพระนารายณ์ “ปุญ – ชัย” หมายถึงชัยชนะ ในเงื่อนไขว่า หากคําว่า “ปุน เชญง” หรือ “ปุนเชยย” ที่เคยพบในอักษรมอญโบราณนั้น สามารถเขียนแยกได้ออกเป็นสองคํา คือ ปุญ และ ชัย

4. หมายถึง หอยสังข์ของพระนารายณ์ วิธูร บัวแดง อธิบายว่า หริปุญไชย สามารถ แยกออกได้เป็นสองคํา คือ “หริ” กับ “ปัญจ์ชยะ” ซึ่งแปลว่าหอยสังข์ อันมีความเกี่ยวพันกบัลกัษณะ ของรูปทรงสันฐานของเมืองหริภุญไชย(9) 

5. หมายถึง ชัยชนะของพระสงฆ์เถระฝ่ายวิปัสสนา ชุติธร มัลลิกะมาส อธิบายว่า “หริ” คือสีขมิ้นทองอันเป็นสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ , “ชย” หมายถึง พระเถระผู้เฒ่าที่ควรแก่การ สรรเสริญ และ “ปุญช” หมายถึง ฝ่ายที่นิยมการนับลมหายใจเข้า-ออก(10)

ส่วนการใช้คําว่า “หริภุญไชย หริภุญชัย หรือ หริปุญไชย” จะใช้คําใดจึงจะถูกต้องนั้น คําเรียกชื่อเมืองเหล่านี้ ได้ปรากฏอยู่ในเอกสารหลายเล่มและมีความแตกต่างกัน ดังที่พบในจารึก เลขทะเบียน ลพ. 15 พบที่องค์ธาตุหริภุญชัย จารึกในปี พ.ศ. 2043 ด้วยอักษรฝักขาม ได้ปรากฏคาํว่า “หริบูญชบุรี” และ “หริบุญชบุรี” นักจารึกวิทยาได้สันนิษฐานว่าการใช้คําว่า “หริบุญชบุรี” หรือ “หริบูญชบุรี” หรือ “หริปุญชบุรี” ในที่นี้แทนคําว่า “หริปุนเชยย” หรือ “หริปุญไชย” ที่เคยพบมาก่อน

อาจเป็นเพราะจารึกหลักนี้เขียนเป็นลักษณะร้อยกรองทํานองร่าย อาจสร้างคําใหม่เพื่อให้ภาษาดูรุ่มรวยขึ้น อย่างไรก็ดีทําให้ทราบว่า ได้เริ่มมีการใช้คําว้า “หริ” นําหน้า “ปุนเชยย” หรือ “ปญุ เชยย” หรือ “ปุญชบุรี” ส่วนการเปลี่ยนจาก “ปุนเชยย” หรือ “ปุนไชย” มาเป็น “หริภุญชัย” หรือ “หริภุญไชย” นั้น ถือว่ากระทําขึ้นภายหลัง(11)  โดยพบคําทั้งสองนี้ปะปนกันในเอกสารภาษาไทย กลางยุคหลัง ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้

1. ตํานานมูลศาสนา แต่งโดยพระพุทธพุกามและพระพุทธญาณ ต้นฉบับเดิมเขียนด้วยภาษาพื้นเมืองโบราณแบบไทยเหนือ แปลเป็นภาษาไทยกลางและพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2480 ใช้คําว่า “หริภุญไชย” เนื่องจากฤษีเอาทองคํามากองพูน แล้วอภิเษกพระนาง จึงได้ชื่อเมืองว้า “หริภุญไชย”(12) 

2. จามเทวีวงศ์พงศาวดารเมืองหริปุญไชย เขียนเป็นภาษาบาลี แต่งโดย พระโพธิรังสี ในปัจจุบันมีการแปลเป็นภาษาไทยหลายฉบับ ใช้คําว่า “หริปุญไชยนคร” นอกจากนั้น ยังได้มีการอธิบายคําเรียกชื่อเมือง ไม่ว่าจะเป็น “พิงคนคร ลัมภูณนคร หรือ หริปุญไชยนคร” นั้นคือเมือง เดียวกัน(13)

3. ชินกาลมาลีปกรณ์เขียนเป็นภาษาบาลี โดยพระรัตนปัญญาเถระ แต่งจบเมื่อ พ.ศ. 2060 และบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2071 ใช้คําว่า “หริปุญชัย” เนื่องจากฤษีวาสุเทพและฤษีสุกกทนต์พร้อม ชาวเมือง ได้อัญเชิญพระนางจามเทวีนั่งบนกองทองคําอภิเษก นครนี้จึงชื่อว่า “หริปุญชัย”(14)

4. ตํานานพระธาตุหริภุญชัย ต้นฉบับคัดจากใบลานจารอักษรไทยล้านนา ใช้คําว่า “หริ ภุญชัยบุรี” เนื่องด้วยเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าได้มาฉันสมอ(15)

5. ตํานานมูลศาสนา สํานวนล้านนา ใช้คําว่า “หริภุญไชย” เนื่องด้วยฤษีเอาทองคํามา กองแล้วอภิเษกนางในวันนั้น จึงได้ชื่อว่า เมืองหริภุญไชย16

6. ตํานานสิบห้าราชวงศ์ เขียนด้วยภาษาพื้นเมือง พระสุนันทะเป็นผู้จารเมื่อ จ.ศ. 1251 (พ.ศ. 2432) ใช้คําว่า เมืองหริภุญ(17) 

7. ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ปริวรรตโดย ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี และคณะ ใช้คําว่า “หริภุญช์”(18)

8. พงศาวดารโยนก เรียบเรียงโดยพระยาประชากิจกรจักร์ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม รัตนโกสินทรศก 125 หรือตรงกับปี พ.ศ.2450 ใช้คําว่า “หริภุญไชยนคร” (19)

ดังนั้นจากข้อถกเถียงดังกล่าว ชื่อเมืองโบราณหริภุญไชยนั้น ได้ข้อยุติออกมาในระดับหนึ่งว่า คําว่า “หริภุญไชย หรือ หริปุญไชย” เป็นคําที่ถูกต้องที่สุดสําหรับการเขียนชื่อเมือง ทั้งยังได้รับการยืนยันจากนักวิชาการด้านภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่ ว่าเป็นคําเก่าแก่ที่พบมาก่อนคําว่า “หริ ภุญชัย” ส่วนคําว่า “รพุน หรือ ลพุน” สันนิษฐานว่าเป็นคําที่มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ “หริภุญ ไชย” ทั้งในด้านวิวัฒนาการและความหมาย ส่วนคําว่า “หริภุญชัย” เป็นการสะกดคําใหม่ตามตํานานที่ผูกเรื่องขึ้น โดยพระภิกษุชาวพม่าเมื่อราว 150 ปีที่ผ่านมา เพื่อเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา ซึ่งต้องการเน้นคําว่า “ภุญชติ หรือ ภุญชยะ”(20) 


 ---------------------------------------------------------------------

7 เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์, ผู้รวบรวม, ปริวรรตภาษาชื่อบ้านนามเมือง (กรุงเทพฯ : สํานักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, 2548), 40.

8 เรื่องเดียวกัน, 35.

9 เรื่องเดียวกัน, 54-57.

10 เรื่องเดียวกัน, 38-39.

11 เรื่องเดียวกัน, 15-22.

12 พระพุทธพุกาม และพระพุทธญาณ, ตํานานมูลศาสนา, 165.

13 พระยาปริยัติธรรมธาดา ,ผู้แปล, จามเทวีวงศ์ , 71.

14 พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย แสง มนวิทูร, 92.

15 ตํานานพระธาตุหริภุญชัย, (ม.ป.ท., 2505, พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระพิจิตรโอสถ (รอด สุตันตานนท์) ณ เมรุวัดกู่เต้า จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2505), 33.

16 บําเพ็ญ ระวิน ,บรรณาธิการ, “มูลสาสนา สํานวนล้านนา 1-2,” ร่วมสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ม.ป.ป. (อัดสําเนา)

17 สถาบันวิจัยสังคม, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ตํานานสิบห้าราชวงศ์ เล่มที่ 1 ผูกที่ 1-2 (เชียงใหม่ : โครงการวิจัยคัมภีร์ใบลานในภาคเหนือ ระยะที่ 1 งานวิจัยล้านนาศึกษา สถาบันวิจัย สังคม  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2524), 45.

18 อุดม รุ่งเรืองศรี และคณะ, ปริวรรต, ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี (เชียงใหม่ : สถาบันราชภัฏเชียงใหม่, 2538).

19 พระยาประชากิจกรจักร์ , พงศาวดารโยนก, พิมพ์ครั้งที่ 7 (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์คลัง วิทยา, 2516), 163.

20 เพ็ญสุภา สุขคตะ ใจอินทร์, ผู้รวบรวม, ปริวรรตภาษาชื่อบ้านนามเมือง, 73.


วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ลักษณะเมืองโบราณหริภุญไชย

เมืองโบราณหริภุญไชยแต่แรกสร้างตามที่ปรากฏในตํานานนั้น ได้กล่าวว่าสร้างโดย วาสุเทพฤษี โดยได้นําเกล็ดหอยจากมหาสมุทรมาวางบนพื้นดิน แล้วเอาไม้เท้าขีดรอบเกล็ดหอยบน พื้นดิน ด้วยอํานาจแห่งฤษีแผ่นดินอันหนาก็ยุบลงเป็นคูรอบพระนคร ตามรอยปลายไม้เท้าที่ขีดไว้ กําแพงเมืองก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า “ลพุน
ภาพที่ 3 เมืองโบราณหริภุญไชย ถ่ายเมื่อ 8 ธันวาคม 2520
ที่มา: สรัสวดี อ๋องสกุล, ชุมชนโบราณในแอ่งเชียงใหม่-ลําพูน)
กรุงเทพฯ : อมรินทร์บุ๊คเซน็เตอร์, 2543), 53.


เมื่อสร้างพระนครเสร็จแล้วเกล็ดหอยนั้นก็หายไป(1) ซึ่งในจามเทวีวงศ์ได้ระบุสัณฐานของเมืองไว้ชัดเจนว่า มีสัณฐานเป็นสังขปัตร ทั้งด้านยาวและด้านกว้างโดยรอบทั้งสิ้นเป็น 1,550 วา(2)

ส่วนกําแพงเมืองนั้น ได้มีหลักฐานปรากฏในตํานานสองฉบับคือ ตํานานชินกาลมาลี ปกรณ์และตํานานพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งอธิบายโดยละเอียดว่าในสมัยของพระเมืองแก้วได้ทรงบูรณะและสร้างกําแพงเมืองเพิ่มเติมดังนี้คือ ในปี พ .ศ .2060 พระเมืองแก้วได้ก่อกําแพงศิลาแลง โดยเริ่มตั้งแต่ทิศตะวันตกคือ ประตูมหาวัน ในฤดูแล้ง ยามแตรค่ําวันพฤหัสบดี ขึ้น 5 ค่ํา เดือนยี่ ปีชวด(3)

โดยในตํานานพระธาตุหริภุญชัยนั้นได้กล่าวโดยละเอียดดังนี้ พระเมืองแก้วทรงสร้างกําแพงเมืองและประตูเมืองกลม 1,596 วา สร้างเมกเวียง (กําแพง) 1,743 เมก กว้าง  250 วา ยาว  250 วา หินแลง  56,780 ก้อน ดินและอิฐ 6,385,000 ก้อน ประตูขัวถึงประตูท่าข้าม 182 วา ประตูท่าข้ามถึง ประตูลี้ 250 วา 3 ศอก ประตูลี้ถึงประตูมหาวัน 2,490 วา ประตูมหาวันถึงประตูช้างสีหัวเวียง 345 วา ประตูหัวเวียงถึงประตูท่านาง 175 วา ประตูท่านางถึงประตูเรียงเรือ 180 วา และประตูเรียงเรือถึง ประตูหัวขัว 162 วา 1 ศอก(4)

ต่อมาในสมัยของพระเมืองอ้ายโอรสพระเมืองแก้วได้ทรงสร้างขัวละพูนด้วยเงิน 10,000 เงิน ราวปี พ.ศ. 2069(5)  ลักษณะของเมืองโบราณหริภุญไชย ที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเข้ามาทางทิศ เหนือคือ ประตูช้างสี ผ่านเข้ามายังบริเวณกลางเมืองนั้น มีลักษณะเป็นเนินหลังเต่า โดยมีการกําหนดแกนหลักในแนวเหนือ-ใต้ คือแนวถนนอินทยงยศในปัจจุบัน แกนหลักอยู่ในแนวตั้ง

เริ่มจากประตูช้างสีด้านทิศเหนือ ผ่านกลางเมืองลงมาถึงประตูลี้ด้านทิศใต้ ซึ่งถือเป็นแกนสําคัญ เนื่องจากสองข้างทางของแนวแกนสําคัญนี้ เป็นที่ตั้งของสถานที่สําคัญของเมืองเช่น วัดพระธาตุหริ ภุญชัยและวัดสะดือเมืองเก่า แกนรองลงมาเป็นแนวแกนนอนในทิศตะวันออก-ตะวันตก ในลักษณะตัดกับแนวตั้ง

เริ่มตั้งแต่ประตูมหาวันด้านทิศตะวันตกผ่านไปตามถนนมุกดาและถนนไชย มงคล ไปถึงท่าน้ำด้านทิศตะวันออก (ภาพที่ 2)  บริเวณที่แกนตั้งและแกนนอนตัดกัน เป็นจุดกึ่งกลางเวียงเกิดการแบ่งพื้นที่ในเวียง ออกเป็น 2 ตอน โดยมีแนวแกนนอนเป็นเขตแบ่งแยกคือ ตอนเหนือ ตั้งแต่แนวแกนนอนจากถนน มุกดา ถนนไชยมงคลขึ้นไปทางเหนือถึงประตูช้างสี เป็นพื้นที่สําคัญสูงสุด ลักษณะกายภาพเป็น เนินหลังเต่า บริเวณนี้จึงเป็นที่ตั้งของวัดสําคัญคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย คุ้มเจ้า ส่วนตอนใต้ ตั้งแต่แนวแกนนอนจากถนนมุกดา ถนนไชยมงคลลงมาทางใต้ถึงประตูลี้ เป็นพื้นที่อันดับรอง ลักษณะ กายภาพเป็นพื้นที่ลาดต่ํา บริเวณนี้ในสมัยหริภุญไชย เป็นที่อยู่ของเสนาบดี เจ้าชั้นรอง พระคลัง สมบัติ โรงช้าง โรงม้า(6) 
                                             
-------------------------------------------------------------------
1 พระพุทธพุกาม และพระพุทธญาณ, ตํานานมูลศาสนา แปลโดย สุด ศรีสมวงศ์ และ พรหม ขมาลา. พิมพ์ครั้งที่ 2. (เชียงใหม่ : นครพิงค์การพิมพ์, 2513. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานทําบุญ ครบร้อยวันศพ นายหน่อ ชุติมา ณ บ้านเลขที่ 15 ถนนท่าแพ ซอย 5 อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 7 มิถุนายน 2513), 145-146.

2 พระโพธิรังสี, จามเทวีวงศ์ (กรุงเทพฯ : มิตรนราการพิมพ์, 2510), 24-25.

3 พระรัตนปัญญาเถระ,ชินกาลมาลีปกรณ์ แปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร   ,(ม.ป.ท., 2510. พิมพ์เป็นอนุสรณ์แด่ นายกี นิมมานเหมินท์  เนื่องในวันเปิดตึกคนไข้พิเศษ พฤษภาคม 2510), 145.

4 ตํานานพระธาตุหริภุญชัย, (ม.ป.ท., 2505. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พระพิจิตรโอสถ (รอด สุตันตานนท์) ณ เมรุวัดกู่เต้า จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2505), 51.

5 เรื่องเดียวกัน, 52.

6 สรัสวดี อ๋องสกุล, ชุมชนโบราณในแอ่งเชียงใหม่-ลําพูน, 53-54.

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ลักษณะกายภาพของเมืองโบราณหริภุญไชย

ลักษณะกายภาพของเมืองโบราณหริภุญไชย เมืองโบราณหริภุญไชย ตั้งอยู่บริเวณตําบลในเมือง อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน ที่ตั้งตามพิกัดภูมิศาสตร์ เส้นรุ้งที่ 18˚ 3416˝ เหนือ และเส้นแวงที่ 99˚ 0023˝- 99˚ 0046˝ ตะวันออก

สภาพทั่วไป มีลักษณะเป็นเมืองโบราณ ที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ํากวง ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูมุมมน มีคูน้ําคันดินล้อมรอบชั้นเดียว วางตัวตามแนวทิศเหนือ-ใต้ ความกว้างของตัวเมืองด้านทิศเหนือประมาณ 440 เมตร ส่วนด้านใต้กว้างประมาณ 550 เมตรและความ ยาวตามแนวทิศเหนือ -ใต้ประมาณ 1,000 เมตร
ภาพที่ 1 เมืองโบราณหริภุญไชย ด้านทิศตะวันตก “ภาพเมืองโบราณหริภุญไชย, พ.ศ. 2551,”
ภาพจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย

ปัจจุบันกําแพงเมืองส่วนใหญ่ถูกทําลายเปลี่ยนสภาพหมดแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือใหญ่ เห็นบ้าง ทางด้านทิศเหนือตรงบริเวณประตูช่างสี และทางด้านทิศตะวันตกตรงบริเวณประตูมหาวัน ส่วนร่องรอยของคูเมืองยังคงปรากฏอยู่เกือบรอบเมือง เว้นแต่ทางด้านทิศตะวันออกเท่านั้นที่ใช้ลําน้ํากวงเป็นปราการธรรมชาติแทนคูเมือง 

ภายในตัวเมืองเป็นสถานที่ตั้งของสถานที่ราชการ อาคารพานิชย์และบ้านเรือนราษฎร อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น โบราณสถานที่สําคัญที่ตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง คือ พระธาตุหริภุญชัยและ สุวรรณเจดีย์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในวัดพระธาตุหริภุญชัย ส่วนเจดีย์เชียงยันประดิษฐานอยู่ภายนอกกําแพงวัด บริเวณโรงเรียนเมธีวุฒิกรหรือคณะเชียงยันเดิม

ส่วนโบราณสถานบริเวณนอกคูเมืองด้านทิศเหนือมีวัดพระคงฤาษี ทิศตะวันออกมีวัดพระยืนและวัดดอนแก้ว ทิศใต้มีวัดกู่ละมัก และ วัดประตูลี้ ส่วนโบราณสถานที่สําคัญทางด้านทิศตะวันตกคือวัดจามเทวีหรือวัดกู่กุด มีเจดีย์กู่กุด หรือสุวรรณจังโกฏิเจดีย์และรัตนเจดีย์ประดิษฐานอยู่ภายในวัด

ภาพที่ 2 เมืองโบราณหริภุญไชย ด้านทิศใต้ “ภาพเมืองโบราณหริภุญไชย, พ.ศ. 2551,”
ภาพจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย.